วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

15 พฤศจิกายน 2556


วิชา EAED 2209 การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัยที่มีความต้องการพิเศษ

เวลา 11.30-14.00 น.

ครั้งที่ 2







1. เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา (Children with intellectual Disabilities)
    หมายถึงเด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกันมี 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
    1.1 เด็กเรียนช้า
          -เรียนได้ปกติ
         -ขาดทักษะในการเรียนรู้
         -เรียนรู้ช้ากว่าเด็กปกติ
         -บกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย
         -IQ ประมาณ 71-90
   1.2 เด็กปัญญาอ่อน
         -มีภาวะพัฒนาการหยุดชะงัก
         -ระดับสติปัญญาต่ำ
         -ความสามารถในการเรียนรู้น้อย
         -มีความจำกัดทางด้านทักษะ
         -พัฒนาการทางกายช้าไม่สมดุลกับวัย
         -มีความสามารถจำกัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม

เด็กปัญญาอ่อนแบ่งได้ 4 กลุ่ม คือ
1.เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
   - ไม่สามารถเรียนทักษะด้านต่างๆได้เลย ต้องการดูแลเฉพาะ
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ ต่ำกว่า 20-34
   - เรียนไม่ได้ ต้องการการฝึกหัดการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวัน
2 กลุ่มนี้เรียกว่า C.M.R (Costodial Mental Retatardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนปานกลาง IQ 35-49
   - พอฝึกทักษะเบื้องต้นง่ายๆได้ สามารถฝึกวิชาชีพทำงานง่ายๆไม่ต้องละเอียดละออ เรียกว่า T.M.R
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
   - เรียนในระดับประถมได้ ฝึกงานวิชาชีพง่ายๆได้ เรียกว่า E.M.R

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญา 

  • ไม่พูด พูดไม่สมตามวัย
  • ความสนใจสั้น วอกแวก
  •  ความคิด อารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอไม่ค่อยได้
  • ทำงานช้า
  • รุนแรงไม่มีเหตุผล
  • อวัยวะบางส่วนผิดรูปร่าง
  • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน

2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with hearing impaired)
    หมายถึง สูญเสียการได้ยินเป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่างๆได้ไม่ชัดมี 2 ประเภท คือ
     1.1 เด็กหูตึง 
           เด็กที่สูญเสียการได้ยินแต่สามารถรับรู้ข้อมูลได้โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม ดังนี้  1.1.1 หูตึงระดับน้อย 26-40 dB 
                  - มีปัญหาในการรับฟังเสียงเบาๆเสียงกระซิบหรือเสียงจากที่ไกลๆ
         1.1.2 หูตึงระดับปานกลาง 41-55 dB 
                  - เด็กมีปัญหาการฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด                       - ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
                  - พูดเล็กน้อย พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน
        1.1.3 หูตึงมาก 56-70 dB 
                  - มีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
                  - คุยกันเสียงดังเต็มที่ยังไม่ได้ยิน
                  - มีการฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกันไม่ได้
                  - มีทักษะทางภาษาช้า
                  - พูดไม่ชัด พูดเพี้ยน บางคนไม่พูด
       1.1.4 หูตึงรุนแรง 71-90 dB 
                  - เด็กมีปัญหาในการฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดมาก
                  - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
                  - การได้ยินโดยต้องตะโกนหรือเครื่องขยายเสียง
                  - เด็กมีปัญหาในการแยกเสียง
                  - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด

     1.2 เด็กหูหนวก
           - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่กำหนดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
           - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
           - ไม่สามารถหรือเข้าใจภาษาพูดได้
           - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
  • ไม่ตอบสนองต่อเสียงพูด
  • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
  • พูดด้วยเสียงแปลก มักเปร่งเสียงสูง
  • พูดด้วยเสียงต่ำหรือพูดด้วยเสียงที่ดังเกินจำเป็น
  • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูดหรือจ้องหน้าผู้พูด
  • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือนและการเคลื่อนไหวรอบตัว
  • มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

3. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Visual impairments )

    - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสงเห็นเลืองราง
    - มีความบกพร่องทางสายตา 2 ข้าง
    - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 อาศา
จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
    3.1 เด็กตาบอด


    3.2เด็กตาบอดไม่สนิท





   



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น